การรักษาแผลเป็น คีลอยด์: แนวทางการดูแลและการเลือกวิธีที่เหมาะสม

คีลอยด์คืออะไร

สารบัญ

แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) คือภาวะที่ผิวหนังสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนมากเกินไปหลังจากการบาดเจ็บหรือการผ่าตัด จนทำให้เกิดแผลนูน ขยายตัวออกเกินกว่าขอบเขตแผลเดิม ลักษณะของคีลอยด์มักเป็นก้อนแข็ง สีชมพู แดง หรือคล้ำ และอาจทำให้เกิดอาการคัน เจ็บ หรือไม่สบายตัว

ความแตกต่างระหว่างแผลเป็นนูนและคีลอยด์

  • แผลเป็นนูน (Hypertrophic scar): นูนขึ้นจากแผลเดิม แต่ไม่ล้ำออกนอกขอบเขตแผล
  • คีลอยด์ (Keloid): นูนและขยายออกนอกขอบเขตแผลเดิม โตต่อเนื่องแม้เวลาผ่านไปหลายเดือนหรือหลายปี

ปัจจัยที่ทำให้เกิดคีลอยด์

  1. พันธุกรรม
    คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นคีลอยด์มีโอกาสสูงกว่าคนทั่วไป
  1. บริเวณร่างกาย
    คีลอยด์มักพบในบริเวณหน้าอก หัวไหล่ หลังใบหู และหลังส่วนบน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ผิวหนังมีความตึง
  1. อายุ
    วัยรุ่นและคนอายุน้อยมักมีโอกาสเกิดคีลอยด์มากกว่า เนื่องจากผิวหนังมีการสร้างคอลลาเจนสูง
  1. ลักษณะผิว
    คนที่มีผิวเข้มหรือชาวเอเชียและแอฟริกันมีแนวโน้มเป็นคีลอยด์มากกว่าคนผิวขาว

วิธีการรักษาแผลเป็นคีลอยด์

  1. การใช้ยาทาและแผ่นซิลิโคน ส่วนใหญ่ได้ผลในการใช้เพื่อป้องกันมากกว่าผลในการรักษา
  • แผ่นซิลิโคนเจล (Silicone gel sheet): ช่วยกดแผล ลดความนูน และลดการสร้างคอลลาเจน
  • ครีมลดรอยแผลเป็น: มีส่วนผสมของสารที่ช่วยลดการสร้างเนื้อเยื่อเกิน เช่น Onion extract, Vitamin E
  1. การฉีดยาสเตียรอยด์ (Intralesional steroid injection)
  • ยาที่นิยมใช้คือ Triamcinolone acetonide
  • ช่วยลดการอักเสบและการสร้างคอลลาเจนเกิน
  • ต้องฉีดซ้ำทุก 4-6 สัปดาห์ 5 – 10 ครั้งขึ้นกับปัญหาของแผลแต่ละแบบ
  • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ผิวบางลง รอยด่างขาว
  1. การผ่าตัดเอาคีลอยด์ออก
  • เหมาะกับคีลอยด์ที่มีขนาดใหญ่ หรือ รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
  • ควรทำร่วมกับการฉีดยาสเตียรอยด์และการใช้ยาหรือแผ่นซิลิโคนป้องกันแผลเป็นเพื่อลดการกลับมาใหม่
  • เป็นการตัดก้อนคีลอยด์ออกทั้งหมดและเย็บแผลอย่างระมัดระวังเพื่อลดความตึง
  1. การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser therapy)
  • เลเซอร์ชนิด Picosecond หรือ Fractional CO2 Laser ช่วยลดสีแดงและทำให้คีลอยด์ลดลง
  • ต้องทำหลายครั้งจึงเห็นผล

การดูแลแผลเพื่อป้องกันคีลอยด์

การดูแลแผลเบื้องต้น

  • ทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี
  • หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาแผล

การใช้แผ่นกดหรือเทปกดแผล

  • ลดความตึงของแผล
  • ลดโอกาสเกิดคีลอยด์ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

การเลือกวิธีรักษาแผลเป็นที่เหมาะสม

พิจารณาจากขนาดและตำแหน่ง

  • คีลอยด์ขนาดเล็กอาจใช้เพียงการฉีดยาหรือทายา
  • คีลอยด์ขนาดใหญ่ควรพิจารณาการผ่าตัดร่วมกับวิธีอื่น

ความต้องการด้านความสวยงาม

  • บริเวณใบหน้าและคอ มักเลือกวิธีที่ไม่ทำให้เกิดรอยแผลเพิ่มเติม เช่น เลเซอร์หรือฉีดสเตียรอยด์

การตอบสนองต่อการรักษาเดิม

  • หากวิธีหนึ่งไม่ได้ผล อาจต้องปรับหรือใช้วิธีผสมผสานหลายวิธี

คำแนะนำจากแพทย์

  • การรักษามักต้องใช้เวลานานและต้องทำซ้ำหลายครั้ง
  • การป้องกันสำคัญกว่าการรักษา โดยเฉพาะในคนที่มีแนวโน้มเป็นคีลอยด์

สรุป

การรักษาแผลเป็นคีลอยด์มีหลายวิธี ตั้งแต่การใช้ซิลิโคนเจล ยาฉีด เลเซอร์ ไปจนถึงการผ่าตัด การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับลักษณะของคีลอยด์ ความต้องการด้านความสวยงาม และคำแนะนำจากแพทย์ การดูแลแผลอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรกคือกุญแจสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดคีลอยด์ใหม่