การรักษาแผลเป็น คีลอยด์: แนวทางการดูแลและการเลือกวิธีที่เหมาะสม
คีลอยด์คืออะไร

สารบัญ
แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) คือภาวะที่ผิวหนังสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนมากเกินไปหลังจากการบาดเจ็บหรือการผ่าตัด จนทำให้เกิดแผลนูน ขยายตัวออกเกินกว่าขอบเขตแผลเดิม ลักษณะของคีลอยด์มักเป็นก้อนแข็ง สีชมพู แดง หรือคล้ำ และอาจทำให้เกิดอาการคัน เจ็บ หรือไม่สบายตัว
ความแตกต่างระหว่างแผลเป็นนูนและคีลอยด์

- แผลเป็นนูน (Hypertrophic scar): นูนขึ้นจากแผลเดิม แต่ไม่ล้ำออกนอกขอบเขตแผล
- คีลอยด์ (Keloid): นูนและขยายออกนอกขอบเขตแผลเดิม โตต่อเนื่องแม้เวลาผ่านไปหลายเดือนหรือหลายปี
ปัจจัยที่ทำให้เกิดคีลอยด์

- พันธุกรรม
คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นคีลอยด์มีโอกาสสูงกว่าคนทั่วไป
- บริเวณร่างกาย
คีลอยด์มักพบในบริเวณหน้าอก หัวไหล่ หลังใบหู และหลังส่วนบน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ผิวหนังมีความตึง
- อายุ
วัยรุ่นและคนอายุน้อยมักมีโอกาสเกิดคีลอยด์มากกว่า เนื่องจากผิวหนังมีการสร้างคอลลาเจนสูง
- ลักษณะผิว
คนที่มีผิวเข้มหรือชาวเอเชียและแอฟริกันมีแนวโน้มเป็นคีลอยด์มากกว่าคนผิวขาว
วิธีการรักษาแผลเป็นคีลอยด์

- การใช้ยาทาและแผ่นซิลิโคน ส่วนใหญ่ได้ผลในการใช้เพื่อป้องกันมากกว่าผลในการรักษา
- แผ่นซิลิโคนเจล (Silicone gel sheet): ช่วยกดแผล ลดความนูน และลดการสร้างคอลลาเจน
- ครีมลดรอยแผลเป็น: มีส่วนผสมของสารที่ช่วยลดการสร้างเนื้อเยื่อเกิน เช่น Onion extract, Vitamin E
- การฉีดยาสเตียรอยด์ (Intralesional steroid injection)
- ยาที่นิยมใช้คือ Triamcinolone acetonide
- ช่วยลดการอักเสบและการสร้างคอลลาเจนเกิน
- ต้องฉีดซ้ำทุก 4-6 สัปดาห์ 5 – 10 ครั้งขึ้นกับปัญหาของแผลแต่ละแบบ
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ผิวบางลง รอยด่างขาว
- การผ่าตัดเอาคีลอยด์ออก
- เหมาะกับคีลอยด์ที่มีขนาดใหญ่ หรือ รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
- ควรทำร่วมกับการฉีดยาสเตียรอยด์และการใช้ยาหรือแผ่นซิลิโคนป้องกันแผลเป็นเพื่อลดการกลับมาใหม่
- เป็นการตัดก้อนคีลอยด์ออกทั้งหมดและเย็บแผลอย่างระมัดระวังเพื่อลดความตึง
- การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser therapy)
- เลเซอร์ชนิด Picosecond หรือ Fractional CO2 Laser ช่วยลดสีแดงและทำให้คีลอยด์ลดลง
- ต้องทำหลายครั้งจึงเห็นผล
การดูแลแผลเพื่อป้องกันคีลอยด์

การดูแลแผลเบื้องต้น
- ทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี
- หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาแผล
การใช้แผ่นกดหรือเทปกดแผล
- ลดความตึงของแผล
- ลดโอกาสเกิดคีลอยด์ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
การเลือกวิธีรักษาแผลเป็นที่เหมาะสม

พิจารณาจากขนาดและตำแหน่ง
- คีลอยด์ขนาดเล็กอาจใช้เพียงการฉีดยาหรือทายา
- คีลอยด์ขนาดใหญ่ควรพิจารณาการผ่าตัดร่วมกับวิธีอื่น
ความต้องการด้านความสวยงาม
- บริเวณใบหน้าและคอ มักเลือกวิธีที่ไม่ทำให้เกิดรอยแผลเพิ่มเติม เช่น เลเซอร์หรือฉีดสเตียรอยด์
การตอบสนองต่อการรักษาเดิม
- หากวิธีหนึ่งไม่ได้ผล อาจต้องปรับหรือใช้วิธีผสมผสานหลายวิธี
คำแนะนำจากแพทย์

- การรักษามักต้องใช้เวลานานและต้องทำซ้ำหลายครั้ง
- การป้องกันสำคัญกว่าการรักษา โดยเฉพาะในคนที่มีแนวโน้มเป็นคีลอยด์
สรุป
การรักษาแผลเป็นคีลอยด์มีหลายวิธี ตั้งแต่การใช้ซิลิโคนเจล ยาฉีด เลเซอร์ ไปจนถึงการผ่าตัด การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับลักษณะของคีลอยด์ ความต้องการด้านความสวยงาม และคำแนะนำจากแพทย์ การดูแลแผลอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรกคือกุญแจสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดคีลอยด์ใหม่