Coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็น
ในปัจจุบัน การสลายไขมันส่วนเกินบนร่างกายมีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน ซึ่งรูปแบบที่กำลังมาแรงและเป็นที่นิยมอย่างมากก็คือ CoolSculpting หรือการสลายไขมันด้วยความเย็นนั่นเอง การขจัดไขส่วนเกินด้วยรูปแบบ Coolsculpting คือ การลดไขมันแบบไม่ต้องผ่าตัด โดยนำเทคโนโลยีที่เรียกว่า Cryolipolysis ซึ่งเป็นการแช่แข็งไขมันให้เย็นถึงจุดที่เซลล์ไขมันถูกทำลาย แต่ไม่ทำให้เนื้อเยื่ออื่นๆ เช่น ผิวหนังและกล้ามเนื้อไม่ถูกกำจัดตามไปด้วย นอกจากนี้ CoolSculpting ยังเป็นวิธีการรักษาที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับใช้ในการกำจัดไขมันในบางส่วนของร่างกายอีกด้วย
Coolsculpting เหมาะกับใคร
การสลายไขมันส่วนเกินด้วยวิธี Coolsculpting จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดที่ไม่สามารถทำให้ลดได้ด้วยการออกกำลังกายหรือการควบคุมอาหาร เพราะการทำ Coolsculpting เป็นกระบวนการที่ใช้ความเย็นเข้ามาช่วยเพื่อทำลายเซลล์ไขมัน และจะถูกกำจัดออกจากร่างกายผ่านกระบวนการธรรมชาติในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ ทั้งนี้กลุ่มคนที่เหมาะสมกับการทำ Coolsculpting เช่น
- ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด : เช่น หน้าท้อง เอว สะโพก ต้นขา หรือใต้วงแขน ที่ไม่สามารถลดได้ด้วยการออกกำลังกายหรือการควบคุมอาหาร
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวคงที่ : Coolsculpting ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนัก แต่เป็นวิธีกำจัดไขมันส่วนเกิน ดังนั้นจึงเหมาะสมกับผู้ที่มีน้ำหนักตัวคงที่และต้องการปรับรูปร่าง
- ผู้ที่ไม่ต้องการทำศัลยกรรม : Coolsculpting เป็นกระบวนการที่ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น ดังนั้นผู้ที่ต้องการวิธีการที่ไม่เจ็บปวดและไม่ต้องรอการพักฟื้นมักจะชอบใช้วิธีนี้
กลไกการสลายไขมันของ Coolsculpting
หลังจากทำความรู้จัก Coolsculpting คือ อะไรและเหมาะกับใครกันไปแล้ว คราวนี้มาดูในเรื่องของกลไกการสลายไขมันของ CoolSculpting หรือ Cryolipolysis กันบ้าง ว่ามีขั้นตอนและกลไกในการสลายไขมันส่วนเกินบนร่างกายอย่างไร
- ควบคุมการทำความเย็น (Controlled Cooling) : เครื่อง CoolSculpting ใช้เทคโนโลยีการทำความเย็นเข้ามาช่วยลดอุณหภูมิบริเวณที่ต้องการลดไขมัน โดยอุณหภูมินี้จะถูกควบคุมให้อยู่ในระดับที่สามารถทำลายเซลล์ไขมันได้ แต่ไม่เป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อบริเวณอื่นๆ เช่น ผิวหนัง กล้ามเนื้อ หรือเส้นประสาท เป็นต้น
- การทำลายเซลล์ไขมัน (Apoptosis of Fat Cells) : เมื่อเซลล์ไขมันถูกควบคุมความเย็นถึงจุดหนึ่ง เซลล์ไขมันจะเข้าสู่กระบวนการ Apoptosis หรือกระบวนการตายของเซลล์ ซึ่งเป็นการตายของเซลล์ที่ถูกควบคุมโดยธรรมชาติ ทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลายและแยกตัวออกจากกัน
- การกำจัดเซลล์ไขมัน (Phagocytosis) : หลังจากเซลล์ไขมันถูกทำลาย ร่างกายจะเริ่มกระบวนการกำจัดเซลล์ไขมันเหล่านี้ออกไป โดยเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิด Macrophages จะเข้ามากลืนกินเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายและขจัดออกไปจากร่างกายผ่านระบบน้ำเหลือง
- การลดจำนวนไขมันในบริเวณที่รักษา (Fat Reduction) : เมื่อเซลล์ไขมันถูกกำจัดออกไปแล้ว จะเห็นได้ว่าจำนวนไขมันในบริเวณที่ทำการรักษานั้นลดลง ทำให้บริเวณนั้นดูเรียบเนียนและกระชับมากขึ้น
ความแตกต่าง Coolsculpting จากวิธีลดไขมันทั่วไป
การลดไขมันด้วย CoolSculpting มีความแตกต่างจากวิธีการลดไขมันแบบทั่วไปในหลายด้านด้วยกันดังนี้
- วิธีการทำงาน
CoolSculpting : ใช้เทคโนโลยี Cryolipolysis เพื่อแช่แข็งเซลล์ไขมันจนกระทั่งเซลล์ไขมันถูกทำลายแล้วกำจัดออกจากร่างกายโดยธรรมชาติ
การลดไขมันทั่วไป : ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นการลดขนาดเซลล์ไขมันโดยรวมแต่ไม่ได้กำจัดเซลล์ไขมันออกไป
- ผลลัพธ์
CoolSculpting : ช่วยลดจำนวนเซลล์ไขมันในบริเวณที่ทำการรักษาอย่างถาวร ทำให้บริเวณนั้นเรียบเนียนและกระชับมากขึ้น
การลดไขมันทั่วไป : ผลลัพธ์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย โดยที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะส่วนหรือบริเวณใดเป็นพิเศษ
- ไม่ใช่การผ่าตัด
CoolSculpting : เป็นวิธีลดไขมันที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีการเจาะหรือฉีดยา และไม่ต้องพักฟื้นนาน
การลดไขมันทั่วไป : ไม่ต้องผ่าตัดเช่นกัน แต่ต้องอาศัยความพยายามและเวลานานในการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร
- ระยะเวลาในการเห็นผล
CoolSculpting : สามารถเริ่มเห็นผลภายใน 3 สัปดาห์ และเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน
การลดไขมันทั่วไป : อาจใช้เวลานานกว่า และการเห็นผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การเผาผลาญของร่างกาย และความต่อเนื่องในการปฏิบัติตามแผนการลดน้ำหนัก
- การลดไขมันเฉพาะจุด
CoolSculpting : สามารถกำหนดบริเวณที่ต้องการลดไขมันได้อย่างแม่นยำ เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นขา ใต้คาง เป็นต้น
การลดไขมันทั่วไป : ไม่สามารถกำหนดเฉพาะจุดได้
- ความปลอดภัยและผลข้างเคียง
CoolSculpting : เป็นการรักษาที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) มีความปลอดภัยสูง แต่อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น รู้สึกเย็น เจ็บ หรือบวมในบริเวณที่ทำการรักษา
การลดไขมันทั่วไป : มีความปลอดภัยตามธรรมชาติ แต่ต้องทำอย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ ปัญหาสุขภาพจากการออกกำลังกาย หรือการควบคุมอาหารที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย
จำนวนหนีบที่เหมาะสมแต่ละบริเวณ
จำนวนหนีบ (applicator) ที่ใช้ในการทำ CoolSculpting ในแต่ละบริเวณของร่างกายนั้น จะขึ้นอยู่กับพื้นที่และความหนาแน่นของไขมันบริเวณนั้นเป็นหลัก โดยทั่วไปแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินจำนวนหนีบที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและเหมาะสมสำหรับคุณมากที่สุด
Coolsculpting หนีบจุดไหนได้บ้าง
การสลายไขมันแบบ CoolSculpting สามารถใช้ได้กับหลายบริเวณของร่างกายที่มีไขมันสะสม ซึ่งโดยทั่วไปจะประกอบด้วยจุดต่างๆ ดังนี้
- หน้าท้อง (Abdomen) : บริเวณหน้าท้องส่วนบนและล่าง
- สะโพก (Flanks/Love Handles) : บริเวณด้านข้างของเอว
- ต้นขา (Thighs) : ต้นขาด้านใน (Inner Thighs) , ต้นขาด้านนอก (Outer Thighs)
- ใต้คาง (Submental Area) : บริเวณใต้คาง (Double Chin)
- หลัง (Back) : บริเวณไขมันที่หลังส่วนบน (Upper Back/Bra Fat) , บริเวณไขมันที่หลังส่วนล่าง (Lower Back)
- แขน (Upper Arms) : บริเวณด้านในและด้านหลังของแขน
- เอว (Waist) : บริเวณรอบเอว
- ก้น (Banana Roll) : บริเวณใต้ก้น
- หน้าอก (Chest) (สำหรับผู้ชาย) : บริเวณไขมันหน้าอกส่วนเกิน (Pseudogynecomastia)
การเลือกบริเวณที่เหมาะสมสำหรับการทำ CoolSculpting ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะทำการพิจารณาจากปริมาณและความหนาของไขมันในบริเวณนั้นๆ ดังนั้นการทำ CoolSculpting ในแต่ละบริเวณอาจต้องใช้หนีบ (applicator) ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปร่างของบริเวณที่ต้องการลดไขมัน
Coolsculpting แต่ละบริเวณใช้หัวต่างกันอย่างไร
การใช้ CoolSculpting ในแต่ละบริเวณของร่างกาย จะมีการใช้หัว (applicator) ที่แตกต่างกันออกไปตามขนาดและรูปร่างของบริเวณนั้น ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งหัวแต่ละประเภทก็จะมีการออกแบบเฉพาะจุดเพื่อให้การกำหนดเป้าหมายและการจับไขมันนั้นเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
- CoolCore : ใช้สำหรับบริเวณหน้าท้องและสะโพก ออกแบบมาเพื่อจัดการกับไขมันในพื้นที่ที่มีความโค้งมน
- CoolCurve : ใช้สำหรับสะโพกและด้านข้างของเอว หัวประเภทนี้จะมีความโค้ง และมีขนาดที่พอดีกับรูปทรงของร่างกายในบริเวณที่มีไขมันสะสมในลักษณะโค้งมน
- CoolFit : ใช้สำหรับต้นขาด้านในและบริเวณแขน มีรูปทรงเรียวยาว ขนาดพอดีกับบริเวณที่มีลักษณะยาวและแคบ
- CoolSmooth : ใช้สำหรับบริเวณที่มีไขมันสะสมหนาแน่น เช่น ต้นขาด้านนอก
- CoolMini : ใช้สำหรับบริเวณใต้คางและไขมันส่วนเล็ก เช่น ใต้แขนหรือบริเวณเข่า มีขนาดเล็กและพอดีกับบริเวณที่มีไขมันสะสมเล็กน้อย
- CoolAdvantage : ใช้สำหรับในหลายบริเวณ เช่น หน้าท้อง สะโพก และต้นขา ซึ่งจะมีหัวที่หลากหลายขนาด เช่น CoolAdvantage, CoolAdvantage Plus และ CoolAdvantage Petite เพื่อให้เหมาะสมกับขนาดและรูปร่างของบริเวณที่ต้องการ
- CoolPetite : ใช้สำหรับบริเวณเล็กๆ เช่น ใต้แขน หรือต้นขาด้านในที่มีขนาดเล็ก หัวประเภทนี้จะมีขนาดเล็กและพอดีกับบริเวณที่ต้องการการดูแลเฉพาะจุด
วิธีดูเครื่องแท้
สำหรับทางด้านของการตรวจสอบว่าเครื่อง Coolsculpting ที่ใช้เป็นเครื่องแท้หรือไม่นั้น เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา ซึ่งคุณสามารถใช้วิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้ช่วยตรวจสอบได้
- ตรวจสอบใบอนุญาตและการรับรอง : เครื่อง Coolsculpting แท้ต้องมีการรับรองจากองค์กรที่น่าเชื่อถือ เช่น องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) หรือองค์กรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ : ควรเลือกซื้อหรือใช้บริการจากคลินิกหรือสถานพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือ มีชื่อเสียง และมีรีวิวที่ดี
- ตรวจสอบเครื่องหมายการค้าและหมายเลขรุ่น : เครื่อง Coolsculpting แท้จะมีเครื่องหมายการค้า (Trademark) และหมายเลขรุ่นที่ถูกต้อง สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์หรือบริษัทผู้ผลิต
- การฝึกอบรมและใบรับรองของผู้ดำเนินการ : ผู้ที่ทำการ Coolsculpting ควรมีการฝึกอบรมและมีใบรับรองที่ถูกต้องจากบริษัทผู้ผลิตเครื่อง
- ตรวจสอบจากผู้ผลิต : หากคุณไม่แน่ใจว่าเครื่องที่ใช้เป็นเครื่องแท้หรือไม่ สามารถติดต่อกับบริษัทผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตเพื่อตรวจสอบความถูกต้องได้โดยตรง
- สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากคลินิกที่ใช้เครื่องเกี่ยวกับการรับรองและความเป็นมาของเครื่องได้
- ตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ : มีแหล่งข้อมูลออนไลน์ที่สามารถตรวจสอบได้ เช่น เว็บไซต์ของบริษัทผู้ผลิต รีวิวจากผู้ใช้ หรือแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการแพทย์และสุขภาพ เป็นต้น
การเตรียมตัวก่อนทำ Coolsculpting
ในส่วนของการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการทำ CoolSculpting ก็มีความสำคัญด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนั้นคุณควรเตรียมตัวก่อนทำการรักษา ดังนี้
- ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ : นัดหมายแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการประเมินและวางแผนการรักษา ซึ่งแพทย์จะตรวจสอบบริเวณที่ต้องการลดไขมันและให้คำแนะนำเกี่ยวกับความคาดหวังและผลลัพธ์ที่จะได้รับ
- ตรวจสอบประวัติสุขภาพ : แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว หรือการใช้ยาที่อาจมีผลต่อการรักษา
- การเตรียมผิวหนัง : หลีกเลี่ยงการทำทรีทเมนต์หรือกิจกรรมที่ทำให้ผิวบริเวณที่ต้องการรักษาอักเสบหรือระคายเคือง เช่น การทำเลเซอร์ หรือการอาบแดด
- การดูแลอาหารและการดื่มน้ำ : ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้นและพร้อมสำหรับการรักษา รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนในวันก่อนการรักษาเพื่อป้องกันการขาดน้ำ
- การดูแลร่างกาย : หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ ในวันที่ทำการรักษาเพื่อป้องกันการอักเสบหรือบวม นอกจากนี้ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ใส่สบายและหลวมเพื่อให้สามารถเข้าถึงบริเวณที่ต้องการรักษาได้ง่าย
- การจัดการความคาดหวัง : ทำความเข้าใจว่า CoolSculpting ไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนัก แต่เป็นการลดไขมันเฉพาะจุด ดังนั้นผลลัพธ์อาจจะไม่เห็นทันทีและต้องใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- การเตรียมความพร้อมทางจิตใจ : ทำความเข้าใจกระบวนการและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การรู้สึกเย็น เจ็บ หรือบวมในบริเวณที่ทำการรักษา และเตรียมตัวรับมือกับความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยระหว่างและหลังการรักษาด้วย
- การจัดเตรียมเวลา : วางแผนเวลาที่เหมาะสมสำหรับการรักษา ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 35-60 นาทีต่อบริเวณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ที่ทำการรักษาเป็นหลัก
การดูแลตนเองหลังทำ Coolsculpting
ทางด้านของการดูแลตนเองหลังทำ CoolSculpting นั้น ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งนี้เพื่อให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งคุณสามารถใช้แนวทางการดูแลตนเองหลังทำ CoolSculpting เหล่านี้ได้เลย
- การดูแลบริเวณที่ทำการรักษา : อาจมีอาการบวม แดง หรือช้ำเล็กน้อย เป็นเรื่องปกติและจะหายไปในไม่กี่วัน แนะนำให้ทำการนวดเบาๆ บริเวณที่ทำการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยในกระบวนการกำจัดเซลล์ไขมัน
- การดูแลผิวหนัง : หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรงหรือการทำทรีทเมนต์ผิวหนังในบริเวณที่ทำการรักษาจนกว่าผิวจะหายเป็นปกติ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัดหรือทำซาวน่าภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังการรักษา
- การจัดการอาการเจ็บปวด : หากมีอาการเจ็บปวดหรือไม่สบาย สามารถใช้ยาแก้ปวดทั่วไปได้ เช่น พาราเซตามอล (acetaminophen) หรือไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ตามคำแนะนำของแพทย์ และสามารถใช้ถุงน้ำแข็งหรือเจลเย็นวางบริเวณที่ทำการรักษาเพื่อช่วยลดอาการบวมและเจ็บปวดได้
- การดูแลอาหารและการดื่มน้ำ : ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยในการขจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายออกจากร่างกาย และควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
- การออกกำลังกาย : หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการรักษา และหลังจากนั้นสามารถกลับมาออกกำลังกายได้ตามปกติ
- การติดตามผลลัพธ์ : นัดหมายติดตามผลกับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญตามกำหนด เพื่อประเมินผลลัพธ์และรับคำแนะนำเพิ่มเติม ซึ่งโดยปกติจะเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 3 สัปดาห์แรก และจะเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือนหลังการรักษา
- การดูแลสุขภาพทั่วไป : รักษาระดับความเครียดให้ต่ำและพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับที่ดีมีผลต่อการฟื้นฟูและการเผาผลาญของร่างกาย รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
ต้องทำบ่อยแค่ไหน
ความถี่ในการทำ CoolSculpting ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ปริมาณไขมันที่ต้องการลด ขนาดของบริเวณที่ทำการรักษา หรือผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ความถี่ในการทำ CoolSculpting จะมีการพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- จำนวนครั้งที่ต้องทำ : บริเวณเดียวอาจทำเพียง 1-3 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แต่ในบางกรณี ถ้าปริมาณไขมันในบริเวณนั้นมีจำนวนมาก อาจต้องทำซ้ำหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งจะห่างกันประมาณ 6-8 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายมีเวลาขจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายออกไป แต่ก็ยังมีในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้รอถึง 12 สัปดาห์ก่อนทำการรักษาซ้ำในบริเวณเดียวกัน
- การรักษาซ้ำหลังเห็นผล : ผลลัพธ์ของ CoolSculpting มักจะเริ่มเห็นได้ใน 3 สัปดาห์แรก และจะเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือนหลังการรักษา ซึ่งถ้าหากคุณพอใจกับผลลัพธ์แล้ว การรักษาซ้ำก็ไม่จำเป็น แต่หากต้องการลดไขมันเพิ่มเติมในบริเวณเดิมหรือบริเวณใหม่ สามารถทำได้ตามคำแนะนำของแพทย์
- การรักษาในบริเวณใหม่ : หากต้องการทำ CoolSculpting ในบริเวณใหม่ สามารถทำได้ทันทีตามความสะดวกและตามแผนการรักษาของแพทย์
Coolsculpting เจ็บมั้ย
การทำ CoolSculpting อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายขึ้นได้บ้าง แต่ความเจ็บปวดหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นมักจะเป็นระดับเบาๆ ถึงปานกลาง และส่วนใหญ่จะทนได้ ทั้งนี้ความรู้สึกและอาการที่อาจเกิดขึ้นระหว่างและหลังการทำ CoolSculpting จะแตกต่างกันออกไปดังนี้
- ระหว่างการทำ CoolSculpting
ความรู้สึกเย็นจัด : ในช่วงแรกของการรักษา เนื่องจากเครื่องจะเริ่มทำความเย็นเพื่อแช่แข็งเซลล์ไขมัน
การดูด : คุณอาจรู้สึกถึงการดูดหรือการดึงผิวหนังในบริเวณที่ทำการรักษาเนื่องจากหัวเครื่องจะทำการดูดผิวหนังและไขมันเข้าสู่ applicator
รู้สึกตึงหรือชาบริเวณนั้น : บริเวณที่ทำการรักษาอาจรู้สึกตึงหรือชาขึ้นได้ เนื่องจากความเย็น ทำให้ความรู้สึกไม่สบายค่อยๆ ลดลง
ความรู้สึกปวดเล็กน้อย : บางคนอาจรู้สึกปวดเล็กน้อยหรือรู้สึกไม่สบายในระหว่างกระบวนการรักษาได้
- หลังการทำ CoolSculpting
อาการบวม แดง หรือฟกช้ำ : บริเวณที่ทำการรักษาอาจมีอาการบวม แดง หรือฟกช้ำได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติและมักจะหายไปในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์
ความรู้สึกชา : บริเวณที่ทำการรักษาอาจรู้สึกชาอยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งอาจจะคงอยู่นานถึงหลายสัปดาห์
ความรู้สึกปวดหรือไม่สบาย : ในบางคนอาจรู้สึกปวดหรือไม่สบายเล็กน้อยในบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งสามารถจัดการได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไป เช่น พาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟน
โดยรวมแล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายจากการทำ CoolSculpting มักจะอยู่ในระดับที่ทนได้และมีอาการเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ถ้าหากมีความกังวลหรือมีอาการไม่สบายมาก ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำและการดูแลเพิ่มเติม
Coolsculpting ปลอดภัยมั้ย
การทำ CoolSculpting จัดได้ว่าเป็นกระบวนการที่มีความปลอดภัยสูงและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ไม่มีการผ่าตัดและไม่ใช้สารเคมีในการลดไขมัน และนี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ CoolSculpting เป็นวิธีการลดไขมันที่นิยมและปลอดภัยอย่างมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจทำ CoolSculpting ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนทุกครั้ง เพราะการสลายไขมันด้วยการทำ Coolsculpting อาจมีข้อจำกัดในบางประการ และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงกับความคาดหวังของคุณมากที่สุด